Powered By Blogger

11/07/2008

She says: Chapter 9
















Wish I could remember why it mattered to me...แค่เพียงประโยคแรกของเพลง ๆ นี้ขึ้นมา เราก็หลงรักในเพลงที่มีทำนองชวนเศร้านี้ทันที Okkervil River ใครก็ไม่รู้ บังเอิญเปิดเจอใน ijigg.com ที่สมัครไว้หาเพลงแปลก ไม่ตลาด ไว้ฟังยามเซ็งงาน หรือเบื่อหน้าคนข้าง ๆ เท่านั้น อันหลังนี่อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนรักล่ะ เพราะถ้ามีขอให้รู้ไว้เราคงไม่เบื่อเธอหรอก อิอิ เพลงที่เกริ่นตอนต้นนี้มีนามว่า It End With A Fall
ไม่ใช่แค่ท่วงทำนองเท่านั้นที่ฉันฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความหม่นเศร้าทว่าเนื้อหาก็เหงาไม่แพ้กัน เหมือนเดินอยู่ท่ามกลางหมอกสลัว ยามอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าทิ้งไว้แค่เพียงรอยซีดจางของวันเวลาที่ไม่อาจเรียกย้อนคืนมาได้ ถ้อยคำร้องที่กลั่นออกมาจากข้างใน บาดใจเวลาที่ได้ฟัง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าตกหลุมรักอะไรกับเพลงแนวนี้ รู้แต่ว่าฟังแล้วมันโดนอ่ะ
ให้มันได้งี้เซ่...งานค้างอีกแล้ว แต่วันนี้วันศุกร์นะ วันจันทร์เจอกัน ฮี่ ฮี่ (-_-")



13/06/2008

She says: Chapter 8

... ว่ากันว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย
... ว่ากันว่าความรักทำให้คนยิ้มได้
... ว่ากันว่าความรักทำให้คนตาบอด
... ว่ากันว่าต้องไขว่คว้า พยายามจึงได้มาซึ่งความรัก
... ว่ากันว่าซักวันนึง ความรักจะหาเราจนเจอ
... ว่ากันว่ากว่าจะถึงวันนั้นคงอีกนานทีเดียว
... ว่ากันว่าชีวิตเราถูกกำหนดไว้แล้วโดยโชคชะตา
... ว่ากันว่าโชคชะตานั้นแท้จริงเราต่างหากที่เป็นผู้กำหนด
... ว่ากันว่าโลกนี้ช่างโหดร้าย
... ว่ากันว่าไม่ใช่โลกที่โหดร้าย ทว่าเป็นมนุษย์เราเองต่างหาก
... ว่ากันว่าคนบางคนคงรอเราอยู่ที่ไหนซักแห่ง
... ว่ากันว่าคนบางคนก็อาจไม่เคยรู้มาก่อนว่ายังมีเราอยู่ในโลกใบนี้อีกคน
... ว่ากันว่าความเหงาคือเพื่อนแท้
... ว่ากันว่าแม้แต่เพื่อนแท้ก็ยังไม่จีรัง
... ว่ากันว่าความรักเป็นสิ่งจำเป็นในการมีชีวิต เป็นเสมือนอากาศที่เราต้องหายใจ
... ว่ากันว่าอากาศก็อาจทำให้เราไม่สบายได้ ถ้ามันปนเปื้อนพิษมากเกินไป
... ว่ากันว่าความรักจับต้องไม่ได้ ดั่งสายลม
... ว่ากันว่าสายลมนั้นเราจับต้องไม่ได้ แต่เรารับรู้ถึงมันได้เช่นกันกับความรัก
... ว่ากันว่านี่เป็นวลางาน และฉันก็คงต้องกลับไปทำมันให้เสร็จแล้วล่ะ
... ว่ากันว่างานเป็นสิ่งที่ทำไม่มีวันเสร็จ
... ว่ากันว่าถ้าฉันยังไม่เลิกพิมพ์ ฉันเองนั่นแหละที่จะเสร็จแน่
... ว่ากันว่า น่ะนะ

05/06/2008

She says: Chapter 7














Now I never meant,To do you wrong
That's what I came here to say.
But if I was wrong,Then I'm sorry
I don't let it stand in our way.
As my head just aches,When I think of
The things that I shouldn't have done.
But, life is for living,We all know
And I don't wanna live it alone.
Sing,Ah, ah, oh,Sing,Ah, ah, oh...
And just think,Ah, ah, oh...
(Life is for living: Coldplay)
บางครั้งมันก็ยากนะที่จะตอบคำถามเพียงไม่กี่คำถามกับตัวเองให้ได้ว่าจริงๆแล้วตัวเองนั้นต้องการอะไร? หรือเรากำลังจะไปที่ใดกันแน่? ไม่ใช่ที่นี่... ก็คงจะเป็นที่ใดซักที่บนโลกใบนี้ล่ะมั้ง ความเหงาที่เข้ามาในบางเวลา แล้วก็จากไปดั่งสายลม ซักพักก็จะกลับหมุนเวียนมาใหม่ เช่นเดียวกับความสุข ต่างกันที่ความรู้สึกเท่านั้น แปลกดีที่เวลามีเท่ากัน แต่ใยความเหงาจึงพำนักพักพิงอยู่กับเรานานกว่านะ... เฮ้อ เค้าว่าถอนหายใจครั้งนึงอายุจะสั้นไปหนึ่งปี งั้นฉันจะหัวเราะชดเชยให้ทีหลังแล้วกันนะ ...

02/06/2008

She says: Chapter 6



"You are my sunshine my only sunshine


You make me happy when skies are grey


You'll never know dear how much I love you


So please don't take my sunshine away..."

เพลงนี้อยู่ในหนัง "Penelopy" ตอนที่เพเนโลพีถามแมกซ์ว่าเขาเล่นดนตรีอะไรได้บ้าง จากนั้นนางเอกก็เตรียมวงดนตรีมาให้ แมกซ์เองก็ดูท่าทางดีใช้ได้เมื่ออยู่กับเครื่องดนตรี ซึ่งผลออกมาก็คือเขามั่วได้เป็นธรรมชาติและน่ารักมากๆ ก็คุณพี่เล่นลองเครื่องดนตรีมันทุกชิ้นตั้งแต่สิ่งที่คล้ายๆเชลโล่ กีตาร์ แซกโซโฟน ไปจนถึงกลอง...แล้วพี่แกก็แหกปากร้อง ...you are my sunshine my only sunshine ... น่ารักชะมัด

แต่ที่ทำให้เรื่องนี้น่าประทับใจอีกอย่างก็ตรงที่ตัวละครในเรื่องนี้ต่างก็มีปมกันทั้งนั้น คือมีที่มาที่ไปบอกเราให้รู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น เธอเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่กล่าวอ้างขึ้นมาลอยๆ อย่างในบทของแมกซ์นั้น แรกๆ อาจจะเห็นว่าเขาเห็นแก่เงิน เป็นคนติดพนัน ปล่อยชีวิตผ่านไปวันๆ ไม่มีสาระ เป็นloserดีๆนี่เอง แต่พอได้พบกับเพเนโลพีความคิดที่มีต่อการดำเนินชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป เขายอมกลับไปหาเพื่อนเก่าที่เคยร่วมวงดนตรีด้วยกัน ยอมโดนเพื่อนต่อว่าแรงๆ ในความไร้ความรับผิดชอบในอดีต ทีนี้ก็ได้รู้แล้วว่าพระเอกน่ะเล่นเปียโนได้ และที่แกล้งทำเป็นเล่นไม่เป็นต่อหน้านางเอกนั้น ก็เพื่อหลอกล่อให้นางเอกเราออกมาปรากฏตัวนั่นเอง ฉากก่อนหน้านั้นเป็นสภาพอพาร์ตเม็นท์หลังเก่าของแมกซ์ซึ่งมีเปียโนเก่าๆ ตั้งอยู่ ณ มุมหนึ่งของห้อง ดูไม่มีความหมายอะไรแต่ตอนที่กล้องแพนไปที่เปียโนหลังนั้น มันกระทบใจชะมัด (โอ้...โนวววว จะร้องไห้ง่ะ) แล้วพระเอกก็กลับตัวหันมาทำมาหากิน แม้จะเป็นงานเล็กๆ อย่างคนทำความสะอาดบาร์ก็ตาม คนเรามีทางเลือกเสมอ อยู่ที่ว่าจะทำ หรือไม่ทำเท่านั้นเอง

you are my sunshine my only sunshine...

ความรักเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง แล้วแมกซ์ก็รู้ตัวแล้วว่าใครคือ Sunshine สำหรับชีวิตเขาต่อจากนี้แล้วคุณล่ะ...?

29/05/2008

She says: Chapter 5

เมื่อวานพอออกจากโรงหนังก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังจนน่ากลัวเวลาตอนนั้นประมาณ 3ทุ่ม40นาที และฉันใช้เวลาอีก 10นาที ในการยืนมองสายฝนที่กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่มีท่าว่าจะสิ้นสุด แม้จะเป็นแค่วันธรรมดาวันนึงของการทำงาน แต่การได้อมยิ้มตลอดเวลาที่เดินทางกลับบ้านจนกระทั่งเข้านอนเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นทุกว้น ฉันเลยต้องถนอมมันเอาไว้เป็นพิเศษ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นต้องยกความดีให้กับหนังดีมั่กมากเรื่องนึง...
"PENELOPY"...เป็นเรื่องราวของ Penelopy Wilhern หญิงสาวที่เกิดมาในตระกูลร่ำรวย ผู้ดีเก่าแต่มีปัญหาที่ว่าครอบครัววิลเฮิร์นนั้นต้องคำสาปจากสมัยของทวดของทวดของทวด... ทำให้ผู้หญิงที่เกิดมาในตระกูลนี้มีจมูกเหมือนหมูและคำสาปนั้นจะถูกแก้โดยการมีความรัก(แท้)จากผู้ชายที่เท่าเทียมกันมอบให้เท่านั้น เป็นเหตุให้แม่ของเธอผู้ซึ่งมักจะวิตกเกินเหตุกับทุกเรื่อง ต้องหาคู่ให้เธอเป็นการด่วน ถึงอย่างนั้นก็ตามไม่ว่าผู้ชายที่มาสมัครจะบอกว่ารับได้กับเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกแค่ไหน ทว่าพอเจอกับเพเนโลพีจริงๆ ต่างก็พากันตกใจ ขวัญหนีกันทั้งสิ้น จนกระทั่งเอ็ดเวิร์ดนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงซึ่งมีชะตากรรมไม่ต่างจากคนอื่นๆที่มาขอนัดดูตัวกับเธอนัก หลังจากตื่นตระหนกจนลืมหายใจเมื่อเพเนโลพีออกมาให้เห็นหน้าตาแล้ว เอ็ดเวิร์ดยังเอาความลับของครอบครัววิลเฮิร์นที่ปิดบังสังคมมากว่า 25 ปี ไปบอกกับตำรวจ รวมทั้งสื่ออีกด้วย แผนการเอาคืนของเอ็ดเวิร์ดกับนักข่าวที่มีความแค้นกับแม่ของเพเนโลพี(ถูกแม่จิตตกตีจนตาบอดไปข้างนึงเนื่องจากไปแอบถ่ายรูปเพเนโลพีตอนแบเบาะ) พวกเขาร่วมมือกับ แมกซ์ แคมเปี้ยน ลูกผู้ดีหางแถวที่มีชีวิตไปวันๆ กับการเล่นพนันไม่เป็นโล้เป็นพาย เพื่อที่จะถ่ายรูปเพเนโลพีมายืนยันถึงหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดดังที่เอ็ดเวิร์ดหวาดกลัวเป็นนักหนา โดยให้แมกซ์เข้าไปสมัครเป็นหนึ่งในผู้ชายที่ต้องการแต่งงานกับเพเนโลพี และถ่ายรูปมาให้ได้ ทว่า...เรื่องราวกลับกลายเป็นว่าเขา และเธอต่างพูดคุยกันถูกคอ จากบทสนทนาถามคำตอบคำ มาเป็นพูดคุยกันโดยมีกระจกที่สามารถมองเห็นได้เพียงด้านเดียวเท่านั้นที่เป็นสิ่งปิดกันทั้งคู่เอาไว้ สิ่งเล็กน้อยร้อยเรียงมาจนถึงเวลาที่ความเข้าใจผิดต่างๆ นานาถูกเปิดเผยเมื่อแมกซ์ กลับไม่ใช่แมกซ์ลูกชายผู้ดีหางแถว แต่เขาเป็นแค่ลูกชายช่างซ่อมท่อประปา และเพเนโลปีเมื่อรู้ความจริงที่แมกซ์ไม่กลัวเธอ (แค่ตกใจแต่ไม่ได้หนีไป) เพราะต้องการแค่รูปถ่ายและหลอกลวงเธอเท่านั้น เพเนโลพีตัดสินใจหนีออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง แล้วเธอก็ค้นพบว่าความจริงนั้นไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิด แค่เพียงเรายอมรับในสิ่งที่เราเป็น และรู้ว่าเราต้องการอะไรเท่านั้น
...จะบอกว่าเรื่องนี้น่ะดูสนุกตลอดเวลา เรียกเสียงฮาได้ตลอดเรื่อง รวมทั้งยังซึ้งในคำว่าปาฏิหาริย์กับความรักจนน้ำตาซึมอีกต่างหาก ที่สำคัญให้ตายดิ...James Mcavoy ในเรื่องนี้น่ะบทบาทและภาพที่ออกมาโดนมั่กมาก น่ารักสุดๆเลย หุ หุ พรุ่งนี้มาต่อนะ :)

22/05/2008

She says: Chapter 4

"พลทหารกับเจ้าหญิง"
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
ทหารหนุ่มแอบหลงรักเจ้าหญิงเลอโฉม
เขาตระหนักถึงความสูงส่งของเธอ
เฉกเช่นเดียวกับที่ตระหนักถึงความต่ำต้อยของตน
แต่เขายังรวบรวมความกล้า เดินเสี่ยงตายเข้าไปบอกเธอว่า "รัก"
และจะอยู่บนโลกต่อไปโดยไม่มีเธอ-ไม่ได้
เจ้าหญิงผู้เป็นดวงใจตอบเขาว่า...
ถ้าเขาสามารถรอคอยอยู่ใต้ระเบียงห้องเธอ ได้ติดต่อกัน 100 วัน 100 คืน
เธอจะเป็นของเขาตลอดไป
ณ ใต้ระเบียง ทหารหนุ่มเฝ้ารอคอยอยู่ตรงนั้น
วันแล้ววันเล่า... คืนแล้วคืนเล่า...
โดยไม่ยอมขยับเขยื้อนกายไปไหน
เขารอคอยท่ามกลางสายลมที่พัดบาดผิว
รอคอยในสายฝนกระหน่ำ รอคอยในความเหน็บหนาวของหิมะ
วันแล้ววันเล่า... คืนแล้วคืนเล่า... โดยมีเจ้าหญิงของเขาเฝ้ามองดูอยู่ตลอดเวลา
เธอเห็นหยาดน้ำตาของเขาพรูพราวเป็นสาย ...
จนกระทั่งในคืนที่ 99 ทหารหนุ่มหยุดร้องไห้
หยุดรอคอย หยุดทุกอย่างไว้ แล้วหันหลังเดินจากไป
... เรื่องนี้ไม่มีตอนจบ แต่มีบางคำถาม และบางคำตอบในใจ ความรักของเธอกับเขาอาจจะเหมือนนาฬิกาทราย เมื่อฝ่ายหนึ่งหมดรักไป ในใจอีกฝ่ายกลับรักขึ้นมาใหม่เต็มเปี่ยม แต่บางทีทหารหนุ่มอาจตั้งใจแค่แสดงให้เห็นว่าเขารักเธอจริงแท้แค่ไหน แค่พิสูจน์ให้เห็น แต่ไม่ต้องการครอบครองไว้ หรือบางทีเขาอาจเสียใจ ต้องตัดใจจากไปเพราะรักเขาถูกทำร้ายย่ำยี หรือบางทีเป็นเจ้าหญิงเองที่เสียใจ เพราะไม่เคยมีใครรักเธอได้อีกถึงเพียงนี้ ...
... เค้าเรื่องจากภาพยนตร์เรื่อง Cinema Paradiso ... เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ตามหาความฝันในอดีตกาล เพียงเพราะเชื่อว่าตราบใดมีหวัง ฃีวิตยังมีฝันให้ตามหา...พลทหารกับเจ้าหญิง
(จาก ฉันเกลียดเธอ ฉันรักเธอ... ชีวิต 'ปราย พันแสง)
... ในตอนที่ฉันได้อ่านเรื่องของพลทหารกับเจ้าหญิงครั้งแรกนั้น จำได้ว่ารู้สึกจับใจในถ้อยคำที่นักเขียนคนนี้บรรจงถ่ายทอดออกมาเหลือเกิน คำธรรมดาที่พอถูกร้อยเรียงขึ้นมาจากใจ ผลที่ได้เหมือนเวลาเราฟังเพลงที่โดนความรูสึกมากๆ และหลงรักไม่รู้ตัวอย่างเพลงของColdplay หรือTravis ที่ฉันหลงรักหัวปักหัวปำจะฟังตอนไหนก็เพราะ โดยเฉพาะเวลาเหงาๆ เศร้า ซึมเนี่ย...ไม่ต้องพูดถึง เพราะไอ้ที่เหงาอยู่แล้ว ดูเหมือนปริมาณจะเพิ่มมากขึ้นไปตามเสียงเพลงที่ได้ฟัง ก็เลยไม่รู้ว่าเหงาเพราะเราเหงา หรือที่เหงาเพราะเพลงกันแน่ สิ่งที่เรียกว่ารักดูเหมือนอยู่ห่างไกลจากชีวิตฉันเสียเหลือเกิน บางครั้งก็คิดว่ามันไม่มีทางเป็นจริงไปได้เลยหรือ คนบางคนบอกว่าเมื่อมีรักก็ย่อมมีทุกข์ ฉะนั้นอย่าไปมีมันดีกว่า แต่ฉันก็อยากจะลองสัมผัสดูสักครั้งนะว่าความทุกข์นั้นมันเป็นยังไง และรักเป็นฉันใดใยทุกคนจึงไขว่คว้า ฉันอยากจะตามหาความหมาย อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร จะเหมือนกับที่ฉันเคยจินตนาการไว้ไหม จะงดงามหรือโหดร้ายเพียงใด ...ก็แค่อยากรู้ และเมื่อเวลานั้นมาถึงฉันคงจะไม่อดทนอย่างเจ้าหญิงและมองดูความรักของใครคนหนึ่งหลุดลอยไปได้ หากไม่ต้องการครอบครองใยจึงรัก หากรักแล้วใยกลัวความเจ็บปวด หากรักใยจึงปล่อยเขา หรือเธอจากไป หากรักได้...หรือได้รัก ฉันจะทำเช่นไร ...ฉันก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน... บางทีอาจเป็นฉันเองที่กลัวคำว่า..."รัก"
ได้ฟังTheme จากเรื่อง Cinema Paradiso ด้วยวันนี้ เพราะมากเลย...ขอบคุณความรัก

18/04/2008

She says: Chapter 3

Eyes,The Rogue Wave

Missed the last train home
birds pass by to tell me that i'm not alone
Well i'm pushing myself to finish this part
I can handle a lot
But one thing i miss
Its in your eyes...
Have you seen this film
It reminds me of walking through the avenues
Well i'm washing my hands of attachments, yeah
I will land on the ground
But the one thing i miss
Is in your eyes...
วันหยุดยาวอย่างนี้ ฉันมีขีวิตอยู่แค่หน้าจอทีวี กับตู้เย็นเท่านั้น รู้สึกดีจริงๆ ที่ปีนี้ไม่โดนสาดน้ำ เพราะไม่ได้ออกไปไหนเลย 5 วัน หุหุหุ ได้ดูSereies "Heroes" season 1 แล้วโชคดีจริงๆ ยืมพี่ที่ทำงานมาได้น่ะ
สนุกมาก ชอบมากเลย เพลงนี้ของ Rogue Wave ก็มาจากซีรี่ส์เรื่องนี้ ชอบมากๆ เช่นกัน
จากนั้นก็ดูซีรี่ส์เกาหลีต่อ เรื่อง The Vineyard Man ไม่น่าเชื่อสนุกง่ะ ซึ้งด้วย โลเกชั่นดี ภาพสวยมากๆ เพลงประกอบในเรื่องเพราะดีค่ะ อ้อเพิ่งได้ฤกษ์ดู TransAmerica สุดยอดเลยอ่ะ เรื่องนี้ก็ซึ้งเหมือนกันแต่คนละแบบกับเรื่องก่อน แบบว่ามันจี๊ดโดนใจน่ะ ความสัมพันธ์ของพ่อลูก ที่คนเป็นพ่อนั้นไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีลูกชาย และตัวเองกำลังตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศอยู่ การดำเนินเรื่องของหนังคล้ายๆ Road Movie นะ แต่มันจับใจเพราะระหว่างทางตัวแสดงในหนังนั้นก็ค่อยๆ ค้นพบตัวเองพร้อมค้นพบความจริงไปด้วย...ดีจัง
Goodbye Lenin ก็เยี่ยม แล้วก็นะได้เอาหนังเกาหลีที่เคยดูแล้วกลับมาดูอีก Too Beautiful To Lie ตลก ฮาดีชอบหน้าพระเอกคนนี้ Gang Dong Won เวลาพี่แกทำหน้าเอ๋อๆ ขำชะมัด ที่จริงดูอีกหลายเรื่องแต่ไม่ประทับใจเท่าเรื่องที่เล่าข้างบน สรุปวันหยุดฉันเหมือนไม่ได้หยุดเพราะกว่าจะเข้านอนแต่ละวันนั้น ประมาณ ตี 1 ขึ้นไป บางวันตี 4 ก็มี (ความจริงเพราะกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นน่ะ เหอ ๆๆ)
ป.ล.ต้องขอบคุณพี่ติ๊ก(ออฟฟิศ)นะที่ให้ยืมห้องตอนที่พี่เค้าไม่อยู่ เค้าทำกระทะพี่ไหม้ไป 2ใบ โทษนะค้าบ!

11/04/2008

She says: Chapter 2

วันนี้ถนนโล่งดีจังค่อยหายใจสะดวกขึ้นมานิดนึง(คิดไปเอง) ช่วงวันหยุดยาวอย่างนี้หลายคนเลือกที่จะเดินทางไปในที่ไกลๆเพื่อหนีจากความวุ่นวายและไปพักผ่อน แต่การเดินทางที่ไกลสุดของฉันตอนนี้คือระยะทางจากบางนาถึงบางกะปิ(ไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว) เมื่อเช้าฉันหอบหิ้วกระเป๋าใบโตสีฟ้าน่าร้ากมาทำงานด้วย มีแต่คนเข้าใจว่าเรากลับบ้านหรือไปเที่ยวต่างจังหวัด ที่ไหนได้ไปอยู่บ้านคนอื่น(พี่ที่สนิทกันที่ทำงานน่ะ)ในกรุงเทพฯนี่แหละ ก็ดูจะประหลาดๆในสายตาเพื่อนอ่ะนะ ประมาณว่า "หา! ...ปัญญาอ่อนว่ะมึง ไปอยู่ห้องพี่เค้ามาค้างบ้านกรูดีกว่า ไร้สาระจริงๆ" "อือม...อ้าวไม่ได้ไปต่างจังหวัด ไปไหนอ่ะ หา!บางกะปิ เออแปลกดีไม่เคยเจอ"
ต่างจากความรู้สึกเรานะ เพราะเรากลับรู้สึกสุขใจที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตนิดหน่อยแม้จะเป็นระยะเวลาไม่กี่วันก็ตาม อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองในที่ๆ ไม่เคยอยู่น่ะ เวลาเหงาจะได้เหงาน้อยลง เพราะในที่ๆแปลกออกไปนั้น ความทรงจำจะมีไม่มากไง
i'm so lonely i just want to let you know...

10/04/2008

She says: Chapter 1


เมื่ออาทิตย์ก่อนขณะเก็บของทำความสะอาดห้อง ฉันได้สิ่งหนึ่งกลับมาแทนที่ฝุ่นผงที่ถูกกำจัดออกไป นั่นคือแฟ้มบันทึกที่รวบรวมเรื่องราวของวงดนตรีวงหนึ่งที่มีอิทธิพลสัมพัทธ์กับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของฉันในปัจจุบัน และทำให้ฉันหันมาฟังเพลงมากขึ้น
เพลง Sad Song ฟังแล้วรู้สึกมองชีวิตต่างไปจากเดิม ต่างจากเมื่อวาน ต่างจากวันก่อนๆ ที่ผ่านมา แล้วต้องกลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?เนื้อเพลงสะท้อนถึงทัศนคติ และความคิดของคนแต่งทำให้รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่คนร้องต้องการสื่อผ่านมายังคนฟัง คนแต่งคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น แล้วเค้ามองชีวิตเช่นนั้นได้อย่างไร เพราะทุกคำที่เค้าใช้นั้นราวกับว่าเค้าเข้าใจว่าเราคิดยังไง เข้าใจความรู้สึกข้างในที่เราไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูด หรืออธิบายได้ "...where we're living in this town, the sun is coming up and it's going down. But it's all just the same at the end of the day..."
Oasis เขียนเพลงในแบบเฉพาะตัวอย่างนี้มาโดยตลอด ไม่พร่ำเพ้อถึงแต่รักอกหักจนเกินงามเหมือนวงดนตรีอื่นๆ ทว่าจะเน้นให้เห็นถึงสิ่งที่เป็นไปที่เราทุกคนต้องพบเจอในชีวิต ในสังคมที่ต้องอยู่รวมกันกับคนแปลกหน้า ในโลกที่ทุกคนดิ้นรนไขว่คว้าที่เราต่างค้นหาความหมายในสิ่งที่เชื่อและในสิ่งที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับคนอื่นอาจไม่คิดอะไรมากมายกับเพลงของพวกเค้า หรือแทบไม่รู้จัก หรือรู้จักแต่ไม่ชอบ ทว่าสำหรับฉันแล้วเพลงของOasis นั้นให้อะไรมากมาย เป็นทั้งเพื่อนที่อยู่ข้างๆกัน เป็นเหมือนกำลังใจให้มีแรงฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง สอนให้รู้จักความรัก และชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป แม้ในยามที่เราเศร้าที่สุดเราก็ยังยิ้มออกมาได้ ในบางครั้งที่เรามีความสุขน้ำตาก็อาจรื้นขึ้นมาโดยไร้ความหมาย
ทุกคนนั้นยังคงต้องเดินทางต่อไปในเส้นทางที่เลือกและตัดสินใจด้วยตัวเราเอง ไม่ว่าจะพบเจอกับอะไรในหนทางข้างหน้าก็ตาม...

09/04/2008

Sing a sad song

Sad Song
Sing a sad song in a lonely place
Try to put a word in for me
It's been so long since i found this place
You better put in two or three
We as people, are just walking 'round
Our heads are firmly fixed in the ground
What we don't see well it can't be real
What we don't touch we cannot feel
Where we're living in this town,
The sun is coming up and it's going down
But it's all just the same at the end of the day
And we cheat and we lie
Nobody says it's wrong
So we don't ask why
Cause it's all just the same at the end of the day
We're throwing it all away
We're throwing it all away
We're throwing it all away at the end of the day...
...
(Oasis, 1994)