Powered By Blogger

04/09/2009

นก...ก้อนหิน ความรัก

...มันเกิดขึ้นอีกแล้ว ฉันอ่านนวนิยายเรื่อง "นกก้อนหิน" ของบินหลา สันกาลาคีรี จบมาสองวันแล้วแต่เรื่องราวในนั้นรวมถึงถ้อยคำบางคำยังค้างคาใจมาตลอดจนกระทั่งวันนี้ มีทั้งความไม่เข้าใจในความรู้สึกของตัวละครจนต้องมาอ่านทวนอีกหลายรอบ ไม่ใช่ว่าเขาเขียนไม่เข้าใจแต่เป็นเพราะตัวฉันเองมากกว่าที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวละครบอกเอง เหมือนอย่างคนที่ไม่เคยรักใครได้มากขนาดนั้น ในการถักถ้อยร้อยเรื่องของหนังสือพูดถึงความรักที่ไร้พันธนาการ รักที่ไม่ต้องการหรือเรียกร้องความซื่อสัตย์ รักในหนังสือเล่มนี้ต่างกันกับความรักในนิยายเรื่องที่เคยอ่านมา เพราะในที่นี้ความรักคือโอกาส คืออิสระที่เราจะรักใครซักคนหนึ่ง...
ฉันเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง (แม้หลังๆ มานี้จะไม่ค่อยให้ผลที่พึงใจก็ตาม) ฉันไม่ได้คาดหวังอะไร หรือคิดว่าจะได้พบสิ่งใดในหนังสือ ฉันหยิบ นกก้อนหิน มาพลิกดู 2-3 รอบ แล้วก็ตัดสินใจเดินออกมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ ไม่ใช่เพราะชื่อของนักเขียนที่คุ้นตา ไม่ใช่เพราะชื่อเสียงจากผลงานที่ผ่านมา แต่เป็นเพราะคำโปรยที่ปกหน้าหนังสือเท่านั้น ฉันไม่เคยอ่านงานเขียนของนักเขียนท่านนี้มาก่อนเลย ทว่าถ้อยคำบนปกหนังสือนี้กลับติดอยู่ในใจและซาบซึ้งในความรู้สึกเหมือนกับรักแรกพบอย่างไรอย่างนั้น




"ปีหนึ่งมีสี่ฤดู ต่อให้อีกสี่ปีก็แค่สี่ฤดู ฉันไม่ได้รอเธอนานกว่านี้..."
เรามักจะเสียเวลามากมายไปกับการหาคำตอบของคำถามที่เราไม่ต้องการคำตอบ เรามักจะคำนึงถึงผลลัพธ์มากกว่าวิธีการในการที่จะได้มาซึ่งสิ่งหนึ่งสิ่งใด... เหมือนกับฉันตอนนี้ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมอังโตน หรือโตน พระเอกของเรื่อง จึงได้รู้สึกว่างเปล่าทั้งๆ ที่เขาได้ความรักและได้ครอบครองคนที่เขารักมากและรอมาตลอดเวลา 5 ปี ...ทำไมอังโตนจึงคิดว่าความรู้สึกของเขาในคืนมืดมิดที่มีเพียงดวงดาวกะพริบในดวงตา 2 คู่เท่านั้นที่เปล่งประกาย เป็นความรู้สึกด้านมืดของจิตที่ชั่วร้าย
"ทำไม ผมกลับรู้สึกขอบคุณการมาของวังหม่าซือ" เขาพึมพัมจนแทบไม่ได้ยินกับผาฝน ผู้หญิงอีกคนที่ผ่านเข้ามาและกำลังจะผ่านไปในชีวิตของอังโตน ...ทำไมอังโตนจึงทิ้งร่มและรองเท้าเจ้าชายน้อยไว้ที่หน้าห้องของเยจินแทนการพบหน้าคนที่เขารักเมื่อครบกำหนดสัญญา...ถ้าความรักมีอิสรเสรี ถ้าเขาสามารถปลดปล่อยตัวเองจากคำสัญญาที่ให้กับเยจินดังคำที่เยจินว่า
"...คนดีของฉัน คำสัญญาไม่ใช่พันธนาการ...
ในวันหน้า ถ้าเธอกลับมาหาฉันก็เพราะอยากจะกลับมา...
ไม่ใช่มาเพราะคำสัญญา ถ้าเธอสามารถรักใครได้มากกว่าฉันเธอจงรัก และเลือกอยู่กับเขา ฉันก็จะเป็นสุขไปกับความรักของเธอ"
คนที่อยู่กับผาฝนตอนนี้คงเป็นโตนไม่ใช่ก้อนหินที่ทิ้งไว้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเท่านั้น แต่ว่าคนเราไม่เหมือนกัน บางคนจึงสุขใจที่ได้รักแม้ไม่ได้ครอบครอง เป็นความสุขใจที่ได้คิดถึงใครสักคนในบางเวลา เป็นความอบอุ่นของหัวใจที่ไม่เรียกร้องวอนขอในสิ่งที่มากกว่านั้น เป็นอิสระในการที่จะรักและคิดถึงใครสักคนหนึ่ง นกคือนกผ้าที่เยจินมอบให้อังโตน ก้อนหินคือความหนักแน่นแลมั่นคงของโตน หรือบางทีนกอาจหมายถึงผาฝน เธอติดปีกให้กับรักของเธอและตัวเธอเอง เธอขี่จักรยานไปกับรองเท้าคู่แรกในชีวิตที่ไม่มียี่ห้อไม่ใช่ของแบรนด์ดัง และก้อนหินอาจหมายถึงหินก้อนเดียวก้อนนั้นที่อังโตนยื่นให้ในวันที่ถูกจับได้ว่านั่งเรียงหินทีละก้อนอยู่ริมน้ำตก ซึ่งพวกเค้าต่างเริ่มใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น... เมื่อได้อยู่ใกล้กันสิ่งที่ค่อยๆ เพิ่มพูนจึงไม่ได้มีเพียงเวลาที่ผันผ่านไป ความรู้สึกที่อยู่ภายในใจก็เช่นกัน...

"ฉันเดินทางมากับพี่ชาย ฯ ... เขาเป็นคนดี และรักผู้หญิงคนหนึ่งมากทีเดียว"

ฉันรักหนังสือเล่มนี้ ...และจะพยายามเรียนรู้ที่จะรักใครสักคน(ในอนาคต)ให้ได้อย่างผาฝนเช่นกัน
...ในวันที่ฟ้าใส วันหนึ่ง

03/09/2009

Something to talk about...a boy


...ในวันๆนึงฉันมักจะทำแต่สิ่งที่ไร้สาระในสายตาผู้อื่น ทว่าพอมาคิดๆ ดูฉันก็ไม่ได้รู้สึกผิดหรือหงุดหงิดตัวเองที่เป็นอย่างนี้เลยสักที ก็ฉันเป็นคนแบบนี้เองเลยรู้สึกยิ้มได้แม้แค่ได้มองดอกไม้ในกระถางที่ใกล้สิ้นใจแล้ว แต่จะยิ้มได้มากกว่านั้นถ้าได้เห็นเค้าค่อยๆ ผลิดอกออกใบมากกว่าเดิมอ่ะนะ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นฉันรู้ว่าเค้าก็คล้ายจะยิ้มตอบกลับมาที่ฉันเช่นกัน...


วันก่อนจู่ๆ ในหัวก็ลิสต์บรรดาหนังรักโรแมนติค-ตลกที่เคยดูขึ้นมา แล้วก็นึกถึงเรี่องนี้ About A Boy อีกทั้งยังหยิบเอาเวอร์ชั่นหนังสือมาอ่านซ้ำ สนุกและให้แง่คิดดีมากๆ เข้าใจถึงหัวอกคนที่มีชีวิตอย่างไร้แก่นสาร ทั้งยังซาบซึ้งปนฮากับความไร้เดียงสาแบบแก่แดดของเจ้าหนูมาร์คัสอีกด้วย เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ชอบนักเขียนคนนี้ "nick hornby" เขาช่างสรรค์ปันแต่งเรื่องได้น่ารักน่าหยิก หลายเรื่องที่ได้อ่านมักสะท้อนสภาพสังคมของชนชั้นกลางที่ใช้ชีวิตในเมืองของอังกฤษ ทั้งยังเสียดสีประชดประชันสังคมเมืองใหญ่ได้อย่างขำกลิ้ง ชอบตรงที่เขามักใช้เพลงในแต่ละยุคสมัยเป็นสื่อกลางในการบอกเล่าและดำเนินเรื่องราวในนวนิยายไปด้วยอย่างกลมกลืน ^.^ ชอบเพลงประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยนะเพราะดี
ฝนยังตกทุกวัน...

13/08/2009

ความบกพร่องของเวลา





"...ถึงอาโออิที่อยู่ห่างไกลในมิลาน

ตอนนี้ผมมีชีวิตที่โดดเดี่ยวเรียบร้อยแล้ว
จาก จุนเซย์ ..”



คำลงท้ายจากจดหมายของจุนเซย์ที่เขียนถึงอาโออิ เป็นตอนหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Calmi Cuori Appassionati ที่ทำให้เรารู้เรื่องราวความรักของคนสองคนจากจุดเริ่มต้นจนกลายเป็นความผูกพัน และคำสัญญาที่ไม่ได้ถูกกลืนหายไปกับวันเวลาที่ผ่านไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อดังของญี่ปุ่นที่แปลเป็นภาษไทยโดยสำนักพิมพ์ Bliss ในชื่อ"Blu" (ในมุมมองของผู้ชาย) และ "Rosso" (ในสายตาของผู้หญิง) ฉันได้อ่านในรูปแบบหนังสือก่อน ส่วนตัวจะชอบเล่ม Blu มากที่สุด เพราะอ่านแล้วได้แง่คิดและรู้ในอีกหนึ่งมุมมองของผู้ชาย ซึ่งมีพัฒนาการทั้งในการดำเนินชีวิต ความคิด และการตัดสินใจท่ามกลางความคลาดเคลื่อนของกาลเวลา ฉันได้หยิบภาพยนตร์เรื่องนี้มาดูโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจเพราะซื้อมาเก็บไว้ได้ตั้ง 2 ปี หรือจะเป็นเพราะคิดถึงหน้าพระเอกเรื่องนี้ที่ห่างหายไปนาน ความเนิบช้าของการดำเนินเรื่องดูจะเป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้ ซึ่งเข้ากันกับบรรยากาศและโลเกชั่นของเรื่องที่ใช้เมืองเก่าในประเทศอิตาลีอย่างฟลอเรนซ์เป็นธีมหลัก เพลงประกอบของหนังนอกจากเพลงบรรเลงอันไพเราะและเป็นสิ่งที่เชื่อมความรู้สึกของคนสองคนเข้าไว้ด้วยกันแล้ว ยังมีเพลงของ Enya "Wild Child" เป็นอีกเพลงที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี้ ฟังแล้วรู้สึกดี แต่ที่จริงฉันคงซึ้งกับรอยยิ้มของจุนเซย์ตอนจบเรื่องมากกว่า...เพราะนั่นเหมือนเป็นคำตอบของทุกคำถาม ทุกสิ่งถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางสายตา ความสุขอยู่ไม่ไกลจากตัวเรา บางครั้งอาจต้องอาศัยเวลา ถ้าคำสัญญาเป็นสิ่งที่เราต่างยึดมั่น ความรักเป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นและศรัทธา ความบกพร่องของเวลาก็เป็นเพียงบททดสอบ สิ่งที่เราทำได้ง่ายๆ เพียงยอมรับและก้าวไปพร้อมกับมันก็เท่านั้นเอง
"...Let the rain fall down
Everywhere around you
Give into it now
Let the day surround you
You don't need a reason
Let the rain go on and on
...Every summer sun
Every winter evening
Every spring to come
Every autumn leaving
You don't need a reason
Let it all go on and on..."

07/08/2009

ให้หัวใจได้เดินทาง









That I'm a young heart living in a world filled with love,
so when tear drops fall from me like rain from above,
I can brush my troubles away, know that deep down inside,
I've got sun shinin in my life...
เพลงของศิลปิน Craig David เพราะดีฟังเวลาเหงาๆ แบบเงียบๆ คนเดียวแล้วมันโด๊นโดน ไม่รู้เป็นไงตอนนี้อารมณ์มักเปลี่ยนไปตามเพลงที่ฟังเดี๋ยวนี้น่ะเวลาเจอคนแปลกๆ (คิดไปเอง) ก็มักจะตั้งคำถามในใจว่า ทำไมเค้าถึงเป็นงั้น งี้ นี่ นั่น ไปเรื่อยและพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้โกรธ หรือหงุดหงิดเมื่อโดนคุกคาม (คิดไปเองบ้างบางครั้ง) ซึ่งอาจจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ พอเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนจะหัวเราะ (ขำไรเนี่ยแก *o*) คือหัวเราะตัวเราน่ะนะ และว่าอาจเป็นเราเองที่โรคจิต (อือม...มันก็น่าคิด)
...ให้หัวใจได้เดินทาง เราก็อยากเดินทางเหมือนกัน ทว่าคนเรามักจะติดที่คำว่า "แต่..." เราเองก็เช่นกัน เพราะงั้นเราจึงตั้งเป้าหมายใหม่เพื่อให้ใจฉันได้เดินทาง ว่ากันว่าการเดินทางจะนำเราไปพบเจอสิ่งใหม่ๆ คนแปลกหน้าใหม่ๆ และอาจนำเราไปสู่หนทางใหม่ๆ ได้ เค้าจึงมักไม่ค่อยแนะนำคู่รักให้เดินทางไปไหนไกลๆ คนเดียวก่อนแต่งงาน เพราะใจของคนเราก็มีเท่านี้ (ไม่ใช่ก้อนหินซักหน่อย) แต่สำหรับเราแล้วรู้สึกดีใจจังที่ยังไม่มีใครมาก่อกวนหัวใจตอนนี้ (คงยาวไปจนถึงตอนหน้า และตอนไหนๆ ด้วย) เวลาจะทำอะไรก็ดูสะดวกใจไปซะหมด รักตัวเองได้เต็มที่ ทำอะไรได้ตามใจ อยากไปนั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟตอนไหนก็ไป จะใช้เวลานานแค่ไหนก็ได้ (ยิ้มคนเดียวก็ออกบ่อย...) มองดูคู่รักควงกันเดินไปมา บางคู่ก็น่ารัก บางคู่ก็ขำๆ บางคู่ก็แบบว่า ...???... ฉันขออยู่คนเดียวดีกว่า หึหึ -_-'' ถึงแม้จะมีความเหงาเข้ามาทักทาย แต่ก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา มาๆ หายๆ ก็สนุกดี ถามว่าเหงามากมั้ยจริงๆ เราคงไม่ได้เหงาจริงจังอะไรหรอก แค่ความรู้สึกผิวๆ ว่าถ้ามีใครที่ดีๆ อยู่เคียงข้างก็คงจะดี...มั้ง ความเหงาจริงๆ ของเรามักมาพร้อมกับความคิดถึงใครบางคนต่างหาก ซึ่งคนนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นท่านแม่เรานั่นเอง ใกล้ถึงวันแม่อย่างนี้ได้ยินเพลง "อิ่มอุ่น" ของศุ บุญเลี้ยง ทีไรต่อมน้ำตาพาลจะเกเรทุกที เป็นเพลงปราบเซียนสำหรับเราโดยแท้
...ให้หัวใจได้เดินทาง คงสักวันที่เราจะได้แหงนมองฟ้าผืนเดียวกันนี้ในที่ๆ ต่างไปจากเดิม ถึงเวลานั้นจะยิ้มให้สุดใจเลยทีเดียว ฟ้าจ๋าฟ้า...

28/07/2009

Follow the light...


Follow The Light...
(Travis)
Nobody really knows

Where they're supposed to go
Hiding behind a wall
Afraid that they'll lose it all

But it's alright
Just follow the light
And don't be afraid of the dark
In the moonlight
You'll dance till you fall
And always be here in my heart...
หลายวันมานี้ฟังแต่เพลงของ Travis ฟังเพราะคิดถึงเพราะอยากฟังเพลงที่ฟังแล้วสบายใจ แต่ว่านะพอลองดูเนื้อเพลงกับสิ่งที่สื่อมากลับมีอะไรให้คิดมากมาย เป็นความหมายดีๆ ของความรัก ความเป็นไปของชีวิต ฟังแล้วมีกำลังใจดีนะ รู้สึกได้เพิ่มพลังชีวิต รู้สึกดีจริงๆ ฟังแล้วยิ้มได้แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ดูยากสำหรับชีวิต บางครั้งอะไรๆ ที่เราคิดมากไป คิดวนคิดเวียน สุดท้ายก็ยังไม่ไปไหน ทว่าทางแก้ปัญหาอาจอยู่ไม่ไกลอย่างที่คิด อยากให้ใครบางคนที่กำลังเจ็บปวดกับชีวิต กับเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้น ได้หันกลับมาฟังเพลงของวงๆ นี้บ้างจัง เพราะของเค้าดีมั่กมาก...จริงนะ:)

21/07/2009

สิ่งที่ทำให้อ่อนไหว

เพราะอารมณ์แปรปรวนบ่อย...ในช่วงก่อนวันนั้นของเดือน
สังเกตไหมว่าตัวเราจะอ่อนไหวเป็นพิเศษ เจออะไรนิดอะไรหน่อยที่มากระทบความรู้สึกก็จะเกิดอาการซึ้ง หรือเศร้าจนบ่อน้ำตารื้น แต่บางเดือนก็แปลกออกไปประมาณว่าบ้าพลัง ไม่ก็อารมณ์ออกจะเกินๆ เช่น หัวเราะแบบบ้าพลังเกินไป หรือจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ไม่ใคร่จะทำอย่างทำความสะอาดห้องงี้ ออกจะเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป (หรือเปล่านะ?) หรือว่าจริงๆ ตัวเราเป็นยังงี้ก็ไม่รู้ (ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
ขี้สงสาร... จริงนะไม่ได้ชมตัวเอง โดยเฉพาะกับเรื่องที่ทำให้อ่อนไหวอย่าง...ความรัก ไม่ว่าจะเรื่องจริงหรือนิยายก็สงสารได้เหมือนกัน (พวกจินตนาการสูงสินะ) ถ้าอยากให้เราน้ำตาคลอซึ้งล่ะก็ ง่ายมากแค่เล่าเรื่องความรักที่ไม่สมหวัง หรือความคลาดกันเพราะเวลา เพราะเหตุการณ์ของคู่ใดๆ ก็ตาม ก็บอกแล้วไงว่าเราน่ะขี้สงสาร โดยเฉพาะกับผู้ชาย (ที่ดีเท่านั้นนะ) ก็แหมฉันเป็นผู้หญิงนี่นะ

13/07/2009

The city i'm in love...with




Venus & David


เนื่องมาจากนิยายเล่มนึงที่ได้มาจากร้านหนังสือมือสองเมื่อสัปดาห์ก่อน "วีนัสกับเดวิด" ตอนแรกหลงรักแค่เพียงหน้าปกเพราะที่ร้านเค้าห่อพลาสติกเลยแอบดูข้างในไม่ได้ หน้าปกนั้นเป็นภาพวาดสีน้ำเมือง ๆ นึงในประเทศอิตาลี และมีแสตมป์2ดวง ที่เป็นรูปDavid และ Venus วางทะแยงอยู่มุมภาพด้านขวาบน ที่รู้ว่าเป็นประเทศนี้ก็เพราะชื่อบนแสตมป์เค้าพิมพ์คำว่า "Italia-Firenze" น่ะ ความชอบเพิ่มมากขึ้นตามหน้าหนังสือที่เปิดอ่านไปเรื่อย ๆ ผ่านไป 5 หน้าพอรู้ที่มาที่ไปของเรื่องก็เริ่มยิ้มเล็กยิ้มน้อยคนเดียว ใครมาเห็นตอนเราอ่านหนังสือเวลานั้น คงคิดว่าเราเป็นบ้าแน่ ๆ อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนไปเที่ยวกับเพื่อนเลย นอกจากนั้นยังได้แอบอมยิ้มเล็ก ๆ กับเรื่องราวของคู่พระนางที่เถียงกันได้น่ารักน่าหยิก เวลาหวานก็หวานซะ...จนเราหุบยิ้มไม่ได้ อ่านจบก็ยังยิ้มในใจ คิดว่าถ้ามีตังค์ซักก้อนจะหอบผ้าหอบผ่อนบินไป Florence เลยทีเดียว...อยากไปจัง ตกหลุมรักซะแล้ว


25/06/2009

1 2 3 4...i love u


ในบางช่วงเวลาเราอาจต้องพบเจอกับสิ่งที่เราต้องอดทน หรือต้องพยายามอย่างมาก

จนทำให้รู้สึกเหนื่อยกับการใช้ชีวิต แต่พอได้มองดูคนอื่นที่เค้าลำบากกว่า (ในสายตาของเรา) ทำให้เราได้ฉุกคิดว่าที่เรามีอยู่ หรือที่เป็นอยู่ก็ดีมากพอแล้ว

เราไม่สามารถทำให้ใครเปลี่ยนความคิดได้ตามใจเรา เพราะเค้าก็มีชีวิตที่เป็นของเค้า เวลาที่เรารู้สึกแย่มากๆ เราอาจได้ระบายกับเพื่อน กับคนใกล้ชิด แต่สุดท้ายคนที่จะฉุดเราออกมาจากโลกส่วนตัวที่เงียบเหงานั้นได้ก็มีแต่เพียงเราเท่านั้น...

ฟังเพลงดีกว่า ช่วงนี้ฟังแต่เพลงนี้ของ Plain White T's - " 1234 ...i love you"


...there's only 1 thing 2 do 3 words 4 you...uuu
i ... i love you

27/04/2009

ฉันเหม่อ...มองขึ้นไปบนฟ้า

"เหม่อ...มองขึ้นไปบนฟ้า*"
บ่ายวันนี้...มีฝนตกหนัก อิทธิพลจากพายุฤดูร้อน

"มีความจริง...ที่ฉันเข้าใจอย่างที่เธอยังไม่เคย"


*เพลงเหม่อ ของวง"อวสานเซลล์แมน/the death of saleman"